วันที่ 22 ก.ย. 67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพรผกก.ตม.จว.สระแก้ว
นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัว น.ส.พลอยณภัทร (ขอสงวนนามสกุล) หรือ พลอย อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรีที่ จ.1231/2567 ลงวันที่ 10 ก.ย. 67 ข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหสถาน สถานที่ราชการ , ลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์” โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา
สืบเนื่องจากกรณีของ พลอย ดาวติ๊กต็อก ผู้ติดตามกว่า 36k มีพฤติกรรมลักขโมยทรัพย์สินที่บ้านของชายหนุ่มที่มีความสัมพันธ์ จนเป็นที่ปรากฏภาพจากสื่อมวลชนเมื่อปลายเดือน ก.ค.67ต่อมาวันที่ 10 ก.ย. 67 พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ ได้ออกหมายจับ น.ส.พลอย ในข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหสถาน สถานที่ราชการ , ลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์” ก่อนที่น.ส.พลอยณภัทรหลบหนีไปล่าสุดชุดสืบนครบาลร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว และ ตม.จว.สระแก้ว ร่วมกันจับกุมตัวได้ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วจากการสอบสวน น.ส.พลอยณภัทร ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ว่าประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เนื่องจากติดพนันออนไลน์ (ปั่นสล็อต) และไม่สามารถยืมเงินของนายต่อแฟนหนุ่มได้ เนื่องจากตอนนั้นนายต่ออยู่ที่ปอยเปต กำลังเข้าไปเปิดบัญชีม้าและคอยแสกนหน้าให้กับกลุ่มมิจฉาชีพอยู่ตนจึงตัดสินใจเข้าไปขโมยทรัพย์สินในบ้านของแฟนตามที่เห็นจากภาพกล้องวงจรปิด โดยได้ทรัพย์สินไปประมาณ 60,000 บาท จากนั้นได้หลบหนีโดยติดต่อไปที่ติ๊กต็อกรายหนึ่งซึ่งเป็นที่รับสมัครไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยมีรายละเอียดว่าหากไปทำงานกับเขาจะได้เงินเดือน ๆ ละ 25,000 บาท และยังมีเงินพิเศษรายวันหากทำยอดหลอกลวงแตะตามเป้าหมายที่วางไว้ เริ่มต้น 5% ของเงินที่หลอกได้/รายวัน, 7% ของเงินที่หลอกได้/รายเดือน มีเงินขั้นต่ำ 50,000-100,000 บาท แต่หากทั้งเดือนหลอกได้ไม่ถึง 50,000 บาท จะไม่ได้รับเงินเดือนเลย ตนเห็นรายละเอียดแล้วสนใจจึงตัดสินใจข้ามไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยข้ามประเทศด้วยการใช้เส้นทางธรรมชาติเมื่อข้ามไปถึงฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้มีคนมารับพาไปและเข้าทำงานที่ชั้น 12 ของอาคาร 25 ชั้น โดยจะทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์รูปแบบหลอกให้รักแล้วชวนทำภารกิจดันสินค้าซึ่งไม่มีจริงโดยหัวหน้าจะให้สร้างโปรไฟล์เฟซบุ๊กและไลน์ตีสนิทกับเหยื่อก่อนประมาณ 15 วัน เมื่อเหยื่อหลงรักเราแล้วก็จะค่อย ๆ ชักชวนให้เข้ากลุ่มไลน์ซึ่งไลน์อวตารอีก 4 ตัว เป็นหน้าม้าและมีการทำสลิปโอนเงินปลอมเพื่อล่อใจเหยื่อให้ทำภารกิจดันสินค้านี้ระหว่างที่อยู่ที่แรกมีเหยื่อที่หลงเชื่อและเริ่มคุยกับตนแล้วประมาณ 10 คน ซึ่งหลังจากตนอยู่ที่ตึก 25 ชั้นนี้ได้เพียง 1 สัปดาห์ คดีของตนก็เกิดเป็นข่าวขึ้น ทำให้บอสชาวจีนได้ย้ายตนไปหลบอยู่อีกออฟฟิศหนึ่งทันที ซึ่งเป็นตึก 4 ชั้นในซอยวัดใหม่เมื่อทำงานที่นี่เป็นรูปแบบการหลอกลวงลักษณะเดียวกับที่แรก แต่เปลี่ยนตัวสินค้าที่ให้เหยื่อทำภารกิจ โดยที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งที่ 2 นี้ ตนใช้เฟซบุ๊กอวตาร ชื่อ “ก้อย” แค่ตัวเดียว ได้ลูกค้าที่พูดคุยด้วยประมาณ 20 กว่าคน และมีผู้หลงเชื่อให้หลอก 1 คน เป็นเงิน 25,000 บาท แต่ตนเห็นคนเก่ง ๆ ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ สามารถหลอกลวงพยาบาลสาวได้เป็นเงิน 5,000,000 บาท ตนจึงพยายามตั้งใจทำงานมากขึ้นหวังจะได้เงินเยอะ ๆแต่เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็ประสบปัญหา โดยบอสของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ที่เป็นชาวไทยชื่อว่า”แสบ” ได้เข้ามาตีสนิทและบีบบังคับให้ตนเป็นเมียน้อย โดยจะให้เงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ตนได้ปฏิเสธจึงถูกไล่ออกทันทีหลังถูกไล่ออกตนก็ได้ไปเข้าทำงานที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 ซึ่งเรียกกันว่า หลังบ่อตกปลา โดยการหลอกจะเป็นรูปคล้ายเดิม คือหลอกให้รักแล้วชวนลงทุนเทรดหุ้นในเพลตฟอร์มเก๊ ซึ่งท้ายสุดเหยื่อจะถอนเงินออกไม่ได้ ซึ่งทำงานได้เพียง 3 วัน นายต่อแฟนที่เป็นคู่กรณีก็ได้ทักมาบอกว่าสารวัตรแจ๊ะจะไปตามจับให้หลบหนีซึ่งถัดมาเพียง 2 วัน ก็มีตำรวจมาจับกุมตนจริง ๆ ระหว่างเดินทางไปทำงาน โดยช่วงชีวิตที่ผ่านมา 2 เดือนนี้ตนรู้สึกได้ว่าถลำลึกไปมาก โดยตอนแรกคิดเพียงว่าจะไปหาเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อนำกลับมาชดใช้ ไม่คิดว่าชีวิตจะถลำลึกถึงเพียงนี้ อยากให้ชีวิตตนเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคม ส่วนปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นตนคิดว่าคงแก้ไม่ได้ เพราะรายได้ดี อย่างไรก็ล่อตาล่อใจให้คนมาทำได้ง่าย ๆ