สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย.

เมื่อเวลา 12.50 น. วันที่ 20 ธ.ค. 2567 ที่ ห้องประชุม 1 ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณี การดำเนินคดีอาญากับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก หรือแชร์ลูกโซ่ดิไอคอนฯ ว่า วันนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษา ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้แต่งตั้ง ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการสอบสวน ด้านเทคโนโลยี ด้านบัญชีการเงินและงบดุล และยังมีคณะพนักงานสอบสวนที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐอื่นมาร่วมสอบสวนด้วย

สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขายสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย

สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขายสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย

อาทิ เจ้าหน้าที่ ปปง. เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มาร่วมพิจารณาพยานหลักฐานในคดีนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีความเห็นว่าการสอบสวนในคดีนี้ ได้รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเสร็จสิ้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติแล้ว มีการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมาย มีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของทุกฝ่าย และการแก้ข้อกล่าวหา ทำให้ที่ประชุมมีมติสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย และอีก 1 นิติบุคคล (บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล) ในความผิดฐาน

ฉ้อโกงประชาชน , พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ , พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545

ซึ่งดีเอสไอจะได้นำส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ในวันที่ 23 ธ.ค. 2567 นี้ ทั้งนี้ ยังจะได้แยกสำนวนออกเป็นอีกหนึ่งสำนวน เพราะพบความผิดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยต่อว่า ผู้ต้องหาทั้ง 18 รายถูกสั่งฟ้องร่วมกันทั้งหมด ซึ่งการมีมติสั่งฟ้องในวันนี้ เนื่องด้วยคณะพนักงานสอบสวนได้นำการแก้ข้อกล่าวหาและข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ของผู้ต้องหามาพิจารณาทั้งหมด รวมถึงสำนวนการสอบปากคำของพยานของผู้ต้องหาด้วย ซึ่งจำนวนพยานของผู้ต้องหาที่เราได้นำเข้าสำนวนมีประมาณ 50 ราย ส่วนใหญ่เป็นสมาชิก เป็นเครือข่ายของดิไอคอนกรุ๊ป และเป็นรายที่ต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบรรดา 18 บอส

สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขายสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย

ส่วนก่อนหน้านี้ที่ทนายความของผู้ต้องหาได้บอกจะพาพยานของผู้ต้องหาทยอยเข้ามาให้ดีเอสไอสอบสวนปากคำวันละ 200 รายนั้น ดีเอสไอได้ดูประเด็นว่ามีประเด็นซ้ำหรือไม่ และเท่าที่รับฟังหากไม่ใช่ประเด็นการพิสูจน์ความผิดหรือแก้ข้อกล่าวหาในคดี เราก็จะรวบรวมไว้เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้อง คงไม่สามารถสอบสวนปากคำได้ทุกราย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ประเด็นที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายผู้ต้องหาเราได้นำมาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแล้วและเห็นว่าไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้ ทั้งนี้ รวมไปถึงคำแก้ข้อกล่าวหาทุกรายทุกกรณีด้วย

สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขายสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยด้วยว่า ทั้ง 18 ผู้ต้องหาได้มีการส่งหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครบทุกราย ส่วนรายละเอียดคำให้การ ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนข้อเน้นย้ำที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนมีมติสั่งฟ้องนั้น คือ มีลักษณะพฤติการณ์แผนธุรกิจเน้นหาสมาชิกมากกว่าการเน้นขายผลิตภัณฑ์สินค้า เนื่องจากเราได้มีการตรวจดูเรื่องรายได้ส่วนใหญ่มาจากการที่ขายสินค้าให้กับหมู่สมาชิกด้วยกัน ซึ่งจำนวนสินค้าที่ไปยังผู้บริโภคนั้นมีจำนวนน้อย แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกหลายประเด็นเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยรายละเอียดภายในสำนวน ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างถึงการเก็บสินค้าในสต๊อกโกดังมีจำนวนจริงเท่ากับจำนวนลูกค้าหรือไม่นั้น ในส่วนนี้ได้มีการสอบสวนเข้ามาในสำนวนเรียบร้อยแล้ว

สั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขายสั่งฟ้อง 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ป หลักฐานมัด เน้นหาคนไม่เน้นขาย

ส่วนเรื่องความมั่นใจในการสรุปสำนวนพร้อมความเห็นทางคดีสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 18 รายต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษนั้น พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเพื่อพิสูจน์ความผิด และคณะพนักงานสอบสวนซึ่งมีจากหลายฝ่าย ทั้งที่เป็นหน่วยงานของดีเอสไอเอง และคณะที่ปรึกษา รวมทั้งพนักงานสอบสวนจากหน่วยงานของรัฐอื่น ก็มีความเห็นตรงกันว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหา ส่วนในขั้นตอนอื่น เป็นการพิจารณาของพนักงานอัยการและศาล การจะพิจารณาตัดสินว่าผิดหรือถูกก็เป็นศาลที่เป็นผู้พิจารณา

พ.ต.ต.ยุทธนา เผยถึงความคืบหน้าสำนวนการสอบสวนกรณี การฟอกเงินทางอาญาของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด หรือคดีพิเศษที่ 115/2567 ว่า กรณีที่มีรายงานข่าวปรากฏเส้นทางการเงินหวานใจของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช มีการรับโอนเงินจากบอสดิไอคอนฯ นั้น ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล แต่ยอมรับว่ามีการกระทำคล้ายกับของมารดา คือมีการใช้บัญชีธนาคารนี้รับผลประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจดิไอคอนฯ รับโอนมาจากบอสพอล ส่วนห้วงเวลาการรับโอนก็อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ส่วนความถี่ในการรับโอนเป็นรายเดือนหรือไม่นั้น ขอเรียนว่ามีลักษณะคล้ายกัน ยอดเป็นหลักล้านบาท สำหรับการดำเนินการออกหนังสือเชิญหวานใจของนายสามารถมาให้ปากคำ จะมีการดำเนินการอย่างแน่นอน

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ปรากฏเส้นทางการเงินว่าบอสปีเตอร์ ได้มีการโอนเงิน 500,000 บาทเข้าบัญชีนางวิลาวัลย์ (มารดานายสามารถ) จะต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน เป็นผู้ต้องหารายที่ 4 หรือไม่นั้น อาจจะต้องมีการดำเนินคดี แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน หากรวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็จะเข้าไปดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนถ้าหากเจ้าตัวจะชี้แจงว่าเป็นเงินอย่างอื่นไม่ใช่เงินค่าดูแล เราก็ยินดีรับฟัง เราก็จะรับฟังว่ามันเป็นเงินมูลหนี้ที่วิญญูชนฟังแล้วมันเป็นไปได้หรือไม่ เช่น การกล่าวอ้างถึงว่าเป็นเงินการทำบุญ เป็นต้น

สำหรับกรณีการส่งหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายสามารถและมารดา จากการที่ถูกดำเนินคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป นั้นที่ได้มีการขยายเวลาออกไป 30 วัน ตอนนี้ตนยังไม่ได้ได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด เนื่องด้วยในวันนี้เป็นเพียงการประชุมในคดีของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ส่วนเรื่องคดีการฟอกเงินฯ จะได้ดำเนินการในภายหลังต่อไป

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวด้วยว่า ส่วนจะมีผู้ต้องหาในคดีดิไอคอนฯ เพิ่มเติมจาก 18 รายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ตนตอบไม่ได้ว่าจะมีหรือไม่มี อย่างไร ถ้าพยานหลักฐานไปถึงใครและมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด และหากปรากฏว่ามีผู้ต้องหาเพิ่มเติมก็จะต้องแยกออกเป็นอีกเลขคดีพิเศษ เพราะสำนวน 119/2567 เราจะส่งให้พนักงานอัยการในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ ในส่วนของภรรยานายกันต์ กันตถาวร พบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในสำนวนหรือไม่นั้น ต้นขอเรียนว่าในวันนี้เราพิจารณาเพียงในส่วนของผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย แต่จะมีการขยายผลอีกส่วนหนึ่งแน่นอน

ด้าน นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า สำหรับการเตรียมจะแยกสำนวนออกมาเป็นอีกหนึ่งสำนวนเนื่องด้วยพบความผิดบางส่วนเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เพราะคดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำสองส่วน ส่วนแรกคือกรณีที่ดีเอสไอรับไปดำเนินการในคดีพิเศษ ซึ่งมีจำนวนผู้เสียหายประมาณ 7,000 ราย อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเป็นไปตามที่อัยการสำนักงานการสอบสวนได้เสนอ จึงเรียกว่าเป็นความผิดในราชอาณาจักร คือ ดีเอสไอสรุปสำนวนสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ส่วนกรณีที่ปรากฏผู้เสียหายอยู่ที่ต่างประเทศ หรือนอกราชอาณาจักรนั้น ขณะนี้พบจำนวนเบื้องต้นแล้ว 10 ราย จึงมีความจำเป็นต้องแยกสำนวนมาดำเนินการ ตามคำสั่งของอัยการสูงสุด เพราะมีความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร และคดีนอกราชอาณาจักรนี้ ตนได้รับมอบหมายให้มาเป็นหัวหน้าของพนักงานอัยการ เพื่อสอบสวน และหากดำเนินการเสร็จสิ้น สำนวนคดีนี้จะส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อมีคำสั่งทางคดี ดังนั้น สำนวนคดีดิไอคอนฯ ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ถือเป็นการกระทำอีกส่วน และการกระทำแต่ละครั้งก็เป็นหนึ่งกระทงหรือหนึ่งกรรม

นายวัชรินทร์ เผยต่อว่า สำหรับการเตรียมพิจารณาคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ก็ยังคงเป็นผู้ต้องหากลุ่มเดิม คือ 18 ราย และ 1 นิติบุคคล แต่ขณะนี้การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เพียงเพิ่งเริ่มต้นการสอบสวนคดีดังกล่าว ดังนั้น ภายหลังจากที่ดีเอสไอได้มีการส่งสำนวนหลักไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษแล้ว เราจึงจะเริ่มดำเนินการในส่วนของสำนวนความผิดนอกราชอาณาจักร จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าหากมีผู้เสียหายรายใดที่อยู่ต่างประเทศใดก็ตาม ต้องการประสงค์ที่จะดำเนินคดีก็สามารถมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้

นายวัชรินทร์ เผยอีกว่า สำหรับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรจะแตกต่างจากพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร เพราะกรณีนอกราชอาณาจักรนี้ผู้เสียหายอยู่ที่ต่างประเทศ รับรู้จากการอยู่นอกประเทศ และมีการตกลงที่จะสมัครเป็นสมาชิกและมีการโอนเงิน ซึ่งในส่วนนี้เราจะสอบสวนขยายผลต่อไป เนื่องจากเราต้องมีการสอบสวนปากคำพยานอีกหลายฝ่าย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จำนวนเอกสารหลักฐานที่คณะพนักงานสอบสวนได้มีการประชุมหารือพิจารณาก่อนมีมติเอกฉันท์สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย ปรากฎจำนวนเอกสารมากกว่า 300,000 แผ่น ความเสียหายทะลุ 1,644 ล้านบาทเศษ และจำนวนผู้เสียหายทั้งหมด 7,875 ราย