นักวิจัยกังวล เราอาจเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่จะได้เห็น “หิ่งห้อย” ก่อนหายไปตลอดกาล

นักวิจัยตือน เราอาจเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่จะได้เห็น “หิ่งห้อย” ก่อนหายไปตลอดกาล เหลือแค่ตำนานให้รุ่นหลัง
ราฟาเอล เดอ ค็อก (Raphaël De Cock) นักวิจัยหิ่งห้อยซึ่งเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับตัวอ่อนของหิ่งห้อย กล่าวกับ National Geographic ว่าทุกวันนี้พวกเราต่างเห็นหิ่งห้อยน้อยลงมากเมื่อเทียบกับสมัยยังเป็นเด็ก นักวิจัยยืนยันว่านี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกไปเอง แต่เป็นความจริงที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพราะประชากรหิ่งห้อยทั่วโลกกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
หิ่งห้อย : แสงดาวระยิบระยับบนพื้นดิน
หิ่งห้อยคือแมลงที่เปล่งแสงได้ สร้างความมหัศจรรย์ในยามค่ำคืนของฤดูร้อน พวกมันอยู่ในวงศ์ Lampyridae ซึ่งมีมากกว่า 2,000 สปีชีส์ ส่วนใหญ่สามารถเรืองแสงได้ หิ่งห้อยจัดอยู่ในกลุ่มด้วงตัวนิ่ม และมีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น firefly, lightning bug หรือ glowworm
พฤติกรรมเรืองแสงของพวกมันมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดคู่ผสมพันธุ์ โดยเฉพาะในช่วงหัวค่ำ สำหรับสายพันธุ์ต้นแบบคือ Lampyris noctiluca หรือที่รู้จักในชื่อ “glow-worm” ของยุโรป ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเดิมทีแสงของมันเกิดขึ้นเพื่อเตือนศัตรูว่า ตัวอ่อนของมันไม่อร่อยหรือมีพิษ
ต่อมาพฤติกรรมการเรืองแสงได้พัฒนากลายเป็นสัญญาณในการสืบพันธุ์ด้วย นอกจากนี้ ยังมีตัวเมียของหิ่งห้อยในสกุล Photuris ที่แกล้งเลียนแบบสัญญาณของตัวผู้จากสกุล Photinus เพื่อล่อให้มากินเป็นเหยื่อด้วย
แม้ตัวอ่อนของหิ่งห้อยทุกสายพันธุ์จะเรืองแสงได้ แต่เฉพาะบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ยังคงมีแสงในระยะโตเต็มวัย และตำแหน่งของอวัยวะเรืองแสงก็แตกต่างกันทั้งในแต่ละสปีชีส์และระหว่างเพศ
หิ่งห้อยเป็นที่สนใจของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ หลายวัฒนธรรมมองว่ามันเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณหรือสุนทรียะ อย่างในญี่ปุ่นที่ชื่นชมหิ่งห้อยอย่างมาก และยังมีให้เห็นในภาพยนตร์ของมิยาซากิ (เช่น Hotaru no Haka) โดยบางเมืองในญี่ปุ่นถึงกับสร้างสวนไว้เพื่อชมหิ่งห้อยโดยเฉพาะ
แต่น่าเศร้าที่สิ่งมีชีวิตแสนวิเศษนี้กำลังหายไปอย่างรวดเร็วจากธรรมชาติ และงานวิจัยล่าสุดก็ชี้ว่าเราอาจเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่ได้เห็นแสงวาบของพวกมัน
ทำไมหิ่งห้อยถึงหายไป?
1. การสูญเสียถิ่นที่อยู่
หิ่งห้อยต้องการที่อยู่เฉพาะ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าชื้น หรือบริเวณที่มีความชื้นสูง ตัวอ่อนของพวกมันใช้เวลาส่วนใหญ่ในดินหรือใต้ใบไม้ การพัฒนาเมือง การทำเกษตร และการตัดไม้ทำลายป่าได้ทำลายหรือแยกพื้นที่อยู่อาศัยออกจากกัน ทำให้พวกมันไม่สามารถดำรงชีวิตหรือสืบพันธุ์ได้อย่างเหมาะสม
2. มลภาวะทางแสง
แสงจากไฟถนน ป้ายโฆษณา และแสงจากอาคารรบกวนสัญญาณเรืองแสงตามธรรมชาติของหิ่งห้อยที่ใช้ในการจับคู่ ทำให้พวกมันหาคู่ไม่ได้ ส่งผลให้ประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบางพื้นที่ มลภาวะทางแสงกลายเป็นปัจจัยคุกคามที่รุนแรงยิ่งกว่าการสูญเสียถิ่นที่อยู่เสียอีก
3. สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการเกษตรไม่เพียงฆ่าหิ่งห้อยโดยตรง แต่ยังฆ่าเหยื่อของพวกมันอย่างหอยทากและทากซึ่งเป็นอาหารหลักของตัวอ่อน และยังสามารถปนเปื้อนแหล่งน้ำ ทำให้ระบบนิเวศที่หิ่งห้อยพึ่งพาอยู่เสื่อมโทรมลง
4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อุณหภูมิและระดับความชื้นที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อวัฏจักรชีวิตของหิ่งห้อย ฤดูร้อนที่อุ่นขึ้นอาจทำให้ฤดูผสมพันธุ์มาเร็วเกินไปหรือไม่ตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่งผลให้สืบพันธุ์ไม่สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนก็ส่งผลต่อความพร้อมของแหล่งอาศัยและอาหารเช่นกัน
การหายไปของหิ่งห้อยสะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่ และยังบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่มนุษย์เองก็พึ่งพา
สิ่งที่เราสามารถทำได้ มีดังนี้
-
ฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัย เช่น การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและป่าไม้
-
ลดมลภาวะทางแสง โดยควบคุมการใช้แสงเทียมในพื้นที่สำคัญ
-
ส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เช่น การลดการใช้สารเคมี และเลือกใช้วิธีธรรมชาติ
-
ให้ความรู้กับสาธารณชน เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทของหิ่งห้อยและวิธีการปกป้องพวกมัน
หากเราไม่เริ่มลงมือวันนี้ วันหนึ่งเราอาจต้องพูดถึงหิ่งห้อยแค่ในนิทานหรือเพลงเท่านั้น และลูกหลานของเราจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของแสงระยิบระยับยามค่ำคืนอีกเลย