
- 13 เม.ย. 2568
ความคืบหน้าข้อพิพาททางกฎหมายระหว่าง “เนสท์เล่” บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลก เจ้าของแบรนด์ “เนสกาแฟ” กับตระกูล “มหากิจศิริ” ซึ่งร่วมกันก่อตั้งบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เพื่อผลิตกาแฟ ตั้งแต่ปี 2533

ต่อมา เนสท์เล่ ได้แจ้งยุติสัญญาการให้สิทธิ QCP ในการผลิตเนสกาแฟในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2564 และมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ภายหลังการยุติสัญญา ผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของ QCP ได้
ทำให้นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัท QCP ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย ในวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ขณะที่ทางด้าน เนสท์เล่ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อขอศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ทั้งเกษตรกร ซัพพลายเออร์ โรงงานผลิตสินค้าอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กระป๋อง บรรจุภัณฑ์อื่นๆ ในวันที่ 11 เมษายน 2568 ขณะที่ทนายฝ่ายโจทย์ได้ยื่นคัดค้าน ศาลจึงนัดไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 9.00 น. เพื่อพิจารณาว่าจะเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 “เนสท์เล่” ลงนามโดย นางสาวเครือวัลย์ วรุณไพจิตร ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ประเทศไทย ส่งหนังสือไปยังพันธมิตรทางการค้า เพื่อแจ้งความคืบหน้าล่าสุดถึงสถานการณ์ของธุรกิจเนสกาแฟ โดยระบุว่า
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งชี้ขาดให้เนสท์เล่เป็นผู้ถือสิทธิ์เครื่องหมายการค้า “Nescafe” และ “เนสกาแฟ” แต่เพียงผู้เดียวในประเทศ ทำให้ “เนสท์เล่” สามารถกลับมาจำหน่ายเนสกาแฟ ได้ตามปกติ
สำหรับหนังสือดังกล่าวได้ระบุว่า “บริษัทขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนของท่านในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทมีความยินดีที่จะเรียนให้ท่านทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับธุรกิจเนสกาแฟ
ตามที่ได้มีการสื่อสารกับท่านเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 บริษัทมีความยินดีที่จะเรียนให้ท่านทราบว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ได้มีคำสั่งยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafe” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย และสามารถใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งคำสั่งศาลนี้มีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 25668
ตามผลของคำสั่งข้างต้น ทางบริษัทมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า เนสท์เล่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทีมงานของเนสท์เล่พร้อมจะให้บริการและให้ความช่วยเหลือท่านในการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่การดำเนินงานตามปกติ
บริษัทขอขอบคุณท่านสำหรับความเข้าใจในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากท่านมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือ ท่านสามารถติดต่อได้โดยตรง
เนสท์เล่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างยั่งยืน และจะเดินหน้าลงทุนเพื่อประโยชน์แก่ลูกค้า ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ร่วมงานกับเรา และพันธมิตรทางธุรกิจ และหวังว่าจะยังคงความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับท่านต่อไป”