กระทรวงแรงงาน จ่อยืดอายุ การเกิดสิทธิรับบำนาญ จาก 55 เป็น 65 ปี

กระทรวงแรงงาน จ่อยืดอายุ การเกิดสิทธิรับบำนาญ จาก 55 เป็น 65 ปี

กระทรวงแรงงาน จ่อยืดอายุ การเกิดสิทธิรับบำนาญ จาก 55 เป็น 65 ปี

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ประกันตนและระบบประกันสังคมของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและกองทุนประกันสังคมมีภาระการจ่ายสิทธิประโยชน์บำนาญชราภาพในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบต่อกองทุนในอีก 30 ปีข้างหน้า จึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และมีแนวทางสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย

1.ปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบ แบบค่อยเป็นค่อยไป ได้แก่ ปี 2568 – 2570 ปรับเพดานค่าจ้างที่ 17,500 บาท ปี 2571 – 2573 ปรับเพดานค่าจ้างที่ 20,000 บาท ปี 2574 เป็นต้นไป ปรับเพดานค่าจ้างที่ 23,000 บาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างแก้ไขกฎกระทรวง

2.กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนอยู่ที่ร้อยละ 5 ต่อปี สามารถดำเนินการได้ทันที

3.ขยายอายุการเกิดสิทธิการรับบำนาญชราภาพ จาก 55 ปี เป็น 65 ปี อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกำลังศึกษาแนวทางขยายอายุเกษียณแบบสมัครใจ คำนึงถึงผลกระทบที่แตกต่างกันของพื้นที่ กลุ่มอาชีพ และกลุ่มรายได้ต่างๆ

4.ขยายความคุ้มครองแก่แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในข้อบังคับตามกฎหมาย และนำแรงงานต่างชาติเข้าสู่ระบบประกันสังคม

5.ปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบฝ่ายรัฐบาลจากเดิมร้อยละ 2.75 เป็น 5

นายภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลเรื่องที่มาของคณะกรรมการประกันสังคม ตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคมฉบับใหม่ว่าจะมีการยกเลิกระบบการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนนั้น ขอยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่ยังกำหนดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใด เรายังคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของนายจ้างและผู้ประกันตนในการบริหารกองทุนเพื่อความมั่นคงยั่งยืน แต่จะปรับให้มีความยืดหยุ่นในกรณีที่เกิดสถานการณ์ที่มีเหตุสุดวิสัย เช่น กรณีที่มีโรคระบาด หรือเกิดภัยพิบัติอันอาจกระทบทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามปกติ โดยให้ออกเป็นประกาศกระทรวงที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมก่อนเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป

กองทุนประกันสังคมมีแหล่งที่มางบประมาณ จาก 3 ฝ่าย คือ ผู้ประกันตน นายจ้าง และ รัฐบาล และมีวัตถุประสงค์สำคัญในการดูแลผู้ประกันตนที่มากกว่าการรักษาความเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงกองทุนไปในทิศทางใด ผู้ประกันตนก็จะต้องรับรู้และตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลสิทธิเพิ่มเติมจากสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนคนไทยทุกคนควรได้รับ โดยจะต้องมีการหารือถึงผลดีผลเสียและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลระบบสุขภาพของประเทศทั้งหมด รวมทั้งมีการสำรวจความคิดเห็นเพื่อทำประชาพิจารณ์ด้วย” นายภูมิพัฒน์ กล่าว

 

  • Beta

Beta feature