ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 68 เก็บตก10ล้านราย คัดกรองคุณสมบัติ

ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ ต้นปี 2568 เก็บตก 10 ล้านรายชวดใช้สิทธิปี 2565 คัดกรองคุณสมบัติใหม่ ให้เสร็จทันวันที่ 31 มี.ค.68

วันที่ 31 ต.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด กระทรวงการคลัง ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2565 เรื่อง โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ในประเด็นแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Exclusion Error)

โดยปรับจากเดิมที่การแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตร จะเปิดรับลงทะเบียนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นเปิดรับลงทะเบียนครั้งต่อไปในระยะเวลาภายใน 2 ปี นับจากวันที่เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกในโครงการที่เปิดรับลงทะเบียนครั้งล่าสุด

ทั้งนี้ คลังรายงาน ครม. ว่า สืบเนื่องจากรอบที่ผ่านมา ผู้ผ่านคุณสมบัติสามารถใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้ในวันที่ 1 เม.ย.2566 เป็นต้นไป แต่เนื่องจากมีประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ

เพราะมีการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติจากเดิมที่ตรวจสอบเฉพาะข้อมูลของผู้ลงทะเบียน เป็นตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน (เกณฑ์บุคคล) และครอบครัวของผู้ลงทะเบียน คู่สมรสและ/หรือบุตร) (เกณฑ์ครอบครัว)

ซึ่งเกิดความคลาดเคลื่อน และทำให้มีการตรวจสอบข้อมูลของผู้อุทธรณ์ผลการพิจารณาคุณสมบัติอีกหลายครั้ง ซึ่งใช้ระยะเวลาเกินกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้

ทำให้ผู้อุทธรณ์กลุ่มสุดท้ายสามารถเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกได้เมื่อเดือน ต.ค.2566 นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ที่ได้รับสิทธิอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ดำเนินการยืนยันตัวตน

ดังนั้น เพื่อให้แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตร เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติที่ต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง

จึงจะเปิดรับลงทะเบียนครั้งต่อไปในระยะเวลาภายใน 2 ปี นับจากวันที่เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกในโครงการที่เปิดรับลงทะเบียนครั้งล่าสุด ซึ่งจะต้องเปิดรับลงทะเบียนก่อนวันที่ 31 มี.ค.2568 เนื่องจากสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2566

โดยมีการคาดการณ์ว่า น่าจะมีผู้ลงทะเบียน (แก้ไขปัญหาผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้บัตร) ราว 10 ล้านราย ซึ่งประมาณการจากกลุ่มกรอกข้อมูลลงทะเบียนโครงการ ปี 2565 ไม่ครบถ้วน 1.3 ล้านราย

กลุ่มผู้ลงทะเบียนที่ไม่ผ่านตรวจสอบคุณสมบัติราว 5.1 ล้านราย และกลุ่มผู้ที่ตกหล่น/ต้องการลงทะเบียนเพิ่มอีกราว 2 ล้านราย รวมถึงกลุ่มผู้ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากกรมการปกครองราว 1.4 ล้านราย

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.นี้ จะมีการนัดประชุมหารือความคืบหน้าการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม. หลังให้มีการทบทวนข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ จากทุก 2 ปี เป็นทุก 1 ปี

โดยจะต้องเตรียมความพร้อม สำหรับการเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ช่วงต้นปี 2568 ซึ่งจะต้องคัดกรองคุณสมบัติใหม่ เพื่อให้ได้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติได้รับสิทธิให้เสร็จทันภายในวันที่ 31 มี.ค.2568

“ปัจจุบันผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน การคัดกรองคุณสมบัติใหม่จะดูเกณฑ์รายได้ การครอบครองสินทรัพย์ ที่ดิน เพื่อพิสูจน์ฐานะความยากจน ตามเกณฑ์ผู้รับสิทธิสวัสดิการ การทบทวนใหม่ เนื่องจากการฝึกอาชีพ และมีรายได้เพิ่ม หรือบางคนเสียชีวิต ส่วนเรื่องหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่จะใช้ในการเปิดรับลงทะเบียน รอบใหม่นี้ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ได้หารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”

ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลได้มีการโอนเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ยังพบปัญหาและมีข้อห่วงใยในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เช่น ผู้ที่ได้รับสิทธิบางรายยากจน หรือ พิการจริงหรือไม่ ดังนั้น จึงเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรวบรวมฐานข้อมูลเรื่องสวัสดิการของภาครัฐที่ให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวไว้ที่เดียว

นายอัครุตม์ สนธยานนท์ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.นี้ เบื้องต้นคาดว่าจะมีการประชุมพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์ต่าง ๆ ก่อนจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่

ซึ่งการเปิดลงทะเบียนจะต้องดำเนินการภายในไม่เกินสิ้นเดือน มี.ค.2568 โดยขณะนี้ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งเป็นอนุกรรมการกำลังเตรียมข้อมูล ก่อนจะมีการประชุมคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม

“ทาง สศค. เป็นอนุกรรมการเกี่ยวกับการกําหนดเกณฑ์ จะดูทบทวน ว่าจะใช้เกณฑ์เดิม หรือจะมีเกณฑ์ใหม่ โดยตอนนี้ยังไม่สรุป แต่ส่วนใหญ่ เท่าที่ทราบก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง”

นายอัครุตม์กล่าวว่า จากการลงทะเบียนรอบที่ผ่านมา มีผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่กว่า 14 ล้านราย ซึ่งการลงทะเบียนใหม่จะทบทวนเพื่อดูว่า อาจจะมีคนที่รวยขึ้น กับคนที่เคยตกเกณฑ์เมื่อการลงทะเบียนรอบที่แล้ว หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ประมาณกว่า 1 ล้านคน