สามีภรรยา ร้อง “ปวีณา” ขอความเป็นธรรม

28 ต.ค. 256715:57 น.
สามีภรรยา ร้อง “ปวีณา” ขอความเป็นธรรม รพ. ทำสูญเสียลูกในครรภ์ 8 เดือน หลังหมอเวร ให้ยาแรงระงับคลอดก่อนกำหนด เศร้าไร้คำอธิบาย ไม่รับผิดชอบ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 ตุลาคม 2567 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นายอภิวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี พร้อมด้วย น.ส.สาวิตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สองสามีภรรยาเดินทางจาก จ.ชลบุรี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ตนเพิ่งเสียลูกในครรภ์ไปหลังจากอายุครรภ์ 8 เดือน และปวดท้องจะคลอด

โดยหมอเวรที่โรงพยาบาลให้ยาแรงระงับการคลอดก่อนกำหนด ต่อมาพบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิต ซึ่งทางโรงพยาบาลยังไม่ได้อธิบายอะไรให้เข้าใจ หรือแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

น.ส.สาวิตรี เล่าความเป็นมาก่อนที่จะสูญเสียลูกในครรภ์ว่า ตนตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 และได้ไปฝากท้องยังคลินิกแห่งหนึ่งใน อ.เมือง ซึ่งหมอที่คลินิกเป็นหมอประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.ชลบุรี ตลอดเวลาตนไปตรวจครรภ์ตามที่หมอนัดทุกครั้ง ซึ่งทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง แข็งแรงดี

ช่วงฝากท้องตรวจครรภ์ครั้งสุดท้าย 20 ก.ย.67 หมอบอกว่าเด็กยังปกติดี และมีกำหนดคลอดปลายเดือน พ.ย.67 กระทั่งวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา จู่ๆ ตนเกิดปวดท้อง ปวดแบบเป็นๆ หายๆ เป็นช่วงๆ
กระทั่งเช้าวันที่ 22 ต.ค. ตนปวดท้องหนักมากเหมือนจะคลอดลูกและมีเลือดไหลออกมา สามีจึงรีบพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลได้พบกับหมอเวรที่ห้องคลอด ตนถามหาหมอที่ตนฝากท้องด้วย

จากนั้นพยาบาลจึงนำยายับยั้งการคลอดเป็นแบบแคปซูลมาให้รับประทานต่อเนื่องกัน 8 เม็ด ผ่านไป 2-3 ชั่วโมงอาการปวดท้องจะคลอดก็ไม่หาย พยาบาลมาบอกว่า หมอสั่งปรับยาให้แรงขึ้นเป็นยาฉีดให้ทางสายน้ำเกลือ 2 ขวด ยาฉีด 2 เข็ม ตั้งแต่ประมาณเที่ยงของวันที่ 22 ต.ค. และให้ไปนอนพักที่ห้องผู้ป่วยรวม

หลังจากได้รับยาตนรู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หน้ามืด ระหว่างนั้นตนเห็นหน้าจอเครื่องวัดชีพจรกับหัวใจเด็ก ซึ่งแสดงผลเป็นกราฟมีตัวเลขขึ้นลงอยู่ที่ 20 50 100 ซึ่งปกติตัวเลขต้องอยู่ที่ 100 ขึ้นไป และตนก็ได้ยินพยาบาลคุยกับหมอว่า หัวใจเด็กเต้นแค่นี้เองเหรอ ต่อมาพยาบาลได้ติดเครื่องกระตุ้นเด็กในครรภ์ให้

จนเช้าวันที่ 23 ต.ค. พยาบาลเข้ามาสอบถามอาการ ตนบอกว่าไม่ปวดท้องแล้ว แต่รู้สึกท้องแข็งๆ เหมือนเด็กจะไม่ดิ้น พยาบาลบอกว่า น่าจะเป็นผลจากยาที่ได้รับ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ได้เอะใจอะไรคิดว่าเดี๋ยวหมอคงเข้ามาตรวจตามเวลา แต่ก็ไม่มีหมอมาเลย

จากนั้นช่วง 12.00 น. ตนขอย้ายไปอยู่ห้องพิเศษ เนื่องจากห้องพักผู้ป่วยรวมอยู่ใกล้กับที่ก่อสร้างทำให้เสียงดังนอนไม่ได้ หลังย้ายไปห้องพิเศษไม่ได้มีการติดเครื่องกระตุ้นเด็กให้อีก ต่อมา 18.00 น. พยาบาลได้เข้ามาดูชีพจร การเต้นของหัวใจเด็ก และใช้มือจับที่ท้องก็พบว่าเด็กไม่มีการตอบสนอง จึงพาตนไปอัลตร้าซาวด์ดูเด็กในท้องพบว่ามีความผิดปกติก่อนที่พยาบาลจะไปบอกหมอ

จากนั้นมีอาจารย์หมอซึ่งเป็นหมอที่ตนฝากครรภ์ด้วยมาบอกกับตนว่า “เด็กเสียชีวิตแล้ว เป็นความผิดปกติที่จะคลอดก่อนกำหนด” ตนจึงถามว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเพราะยาที่ให้แรงไปหรือไม่ แล้วใครจะรับผิดชอบ? หมอตอบว่า “ไม่ควรมีใครต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดจากเด็กเอง ยาที่ให้เป็นยาที่ใช้กันทั่วโลกอยู่แล้ว”

ต่อมา 13.00 น. วันที่ 24 ต.ค. หมอทำการผ่าตัดเอาเด็กที่เสียชีวิตออก โดยตนกับสามีขอให้ทางโรงพยาบาลส่งศพเด็กไปชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และหมอให้ตนนอนฟักฟื้นหลังผ่าตัดที่โรงพยาบาลจนถึงเช้าวันที่ 26 ต.ค. ก่อนจะกลับบ้านได้ โดยทางโรงพยาบาลออกใบความเห็นแพทย์ระบุ “วินิจฉัยโรค ทารกเสียชีวิตในครรภ์ อายุครรภ์ 32 สัปดาห์4 วัน ช่วงฝากครรภ์อัลตร้าซาวด์พบลักษณะผิดปกติ”

น.ส.สาวิตรี กล่าวอีกว่า ตนกับสามีหลังทราบว่าตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 เป็นผู้หญิงก็ดีใจกันมาก แม่ดูแลตัวเองอย่างดี สามีพาไปตรวจครรภ์ตามนัดทุกครั้ง ซึ่งลูกก็ปกติแข็งแรงดีมาตลอด แม้กระทั่งเช้าวันที่ 22 ต.ค.ที่ปวดท้องจะคลอดแพทย์ตรวจก็ยังพบว่าเด็กปกติดี ตนกับสามีจึงตั้งข้อสงสัยว่าหลังจากที่หมอให้ยาที่แรงขึ้นอาจจะมีผลต่อเด็กในครรภ์หรือไม่

และระหว่างที่นอนอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่ 12.00 น. วันที่ 22 ต.ค.ที่หมอให้ยาแรงขึ้นจนถึงเย็นวันที่ 23 ต.ค. ไม่มีหมอมาดูอาการของตนเลย จนมาทราบอีกทีตอนเด็กเสียชีวิตแล้ว ตนกับสามีต้องมาเสียลูกไปทั้งๆ ที่อุ้มท้องมาจนถึง 8 เดือน จึงอยากจะทราบสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กที่แท้จริง ซึ่งทางโรงพยาบาลยังไม่ได้อธิบายอะไรให้เข้าใจ หรือแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ตนกับสามีจึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย

นางปวีณา กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับสองสามีภรรยาที่ต้องมาเสียลูกไปเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจยิ่ง กรณีนี้แม่ไปโรงพยาบาลได้รับการตรวจจากหมอเวร ซึ่งอาจไม่ใช่หมอเฉพาะทาง หรือหมอสูตินารีเวช และการให้ยาที่แรงขึ้นควรจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเคสที่มีความเสี่ยง

ทั้งนี้จะประสาน พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ อยู่ไพร ผกก.สภ.เมืองชลบุรี และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ พาสองสามีภรรยาไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และส่งศพเด็กไปชันสูตรที่นิติเวช รพ.ตำรวจ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และประสาน นพ.กฤษณ์ สกุลแพทย์ สสจ. ชลบุรี เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ความเป็นธรรมกับพ่อแม่เด็ก โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป